Five Fact : 5 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Nissan Note e-Power

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 4 ส.ค 2561
แชร์ 5

จากล่าสุดที่มีการอนุมัติงบประมาณจากภาครัฐ ในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BoI ด้วยงบประมาณกว่า “หมื่นล้านบาท” สำหรับการลงทุนในโครงการสร้างรถไฟฟ้า และกึ่งไฟฟ้า เพื่อตั้งโรงงานในประเทศไทยให้กับ Nissan และรุ่นแรกสุดที่จะถูกปล่อยออกมาจากโรงงานนี้ เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสนวัตกรรมพลัง(ขับเคลื่อน) ด้วยไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบกันอย่างทั่วถึงก็คือ Nissan Note e-Power คันนี้นี่เอง…

Five Fact : 5 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Nissan Note e-Power

Five Fact : 5 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Nissan Note e-Power

แม้ในตลาดอีโค่คาร์อันที่เป็นที่สถิตอยู่ของ Nissan Note เวอร์ชั่นสันดาปด้วยเครื่องยนต์ธรรมดา 3 สูบเพียงอย่างเดียว ยอดขายจะไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไรนัก แต่การมาของ Nissan Note e-Power ทาง Nissan ก็ไม่ได้หวังเพื่อจะช่วยมากระตุ้นยอดขายให้กับ Note เดิมอยู่แล้ว แต่เป็นการเปิดสู่ตลาดใหม่ สำหรับคนไทยครั้งแรก ด้วยระบบขับเคลื่นไฟฟ้าเต็มระบบ และ 5 เรื่องน่าสนใจที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับรถรุ่นนี้มีอะไรบ้าง Chobrod จะพาไปชมพร้อมๆ กันกับ Five Fact Nissan Note e-Power 

1. เป็นรถไฟฟ้าที่ยังต้องพึ่งการทำงานของเครื่องยนต์
Nissan Note e-Power คือรถที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเต็มรูปแบบ “จะบอกว่าเป็นรถ Hybrid ก็ไม่เต็มปาก เป็นรถ EV ก็พูดได้ไม่สนิทใจสักเท่าไรนัก” เพราะการทำงานของ Note e-Power ไม่ใช่แบบรถ Hybrid ที่มีอยู่ในบ้านเราก่อนหน้า ที่ต้องสลับการทำงานช่วยทั้งระหว่างแรงขับจากเครื่องยนต์และไฟฟ้าจากตัวมอเตอร์ 

ดูเพิ่มเติม
>> 
6 วิธีเก็บสัมภาระในรถแสนฉลาด
>> 8 เทคโนโลยี ยนตรกรรมแห่งโลกอนาคตที่ทุกคนเฝ้ารอคอย

การทำงานร่วมระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ขนาดใหญ่ร่วมกันของ Note e-Power

แต่ Note e-Power คือนวัตกรรมใหม่ที่จะมีเครื่องยนต์เข้ามาเพียงเพื่อช่วยในการปั่นไฟเข้าแบตฯ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนใดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อยังมีการซึ่งนำมาใช้ของเครื่องยนต์สันดาปอยู่ จึงทำให้ Nissan Note e Power คันนี้ไม่ใช่รถไฟฟ้าที่เป็น “Zero Emission” หรือรถที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ โดยตัวเครื่องยนต์ที่อยู่ใน Nissan Note e-Power จะเป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส HR12DE แบบ 3 สูบแถวเรียงขนาด 1.2L มีแรงม้าอยู่ที่ 79 แรงม้า พร้อมแรงบิด 103 Nm ซึ่งสเปคทั้งแรงม้าและแรงบิดที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีผลใดๆ ต่อความแรงของตัวรถอยู่แล้ว จากตัวเครื่องที่ทำหน้าที่แค่ปั่นกระแสไฟส่งไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่ เพื่อให้ดึงไปใช้เป็นพลังงานของตัวมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ “EM57 High Power” ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ในการส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อ โดยกำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 109 แรงม้า พร้อมแรงบิดอีกมากถึง 254 Nm 

2. รถไฟฟ้าที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก
Nissan Note e-Power เมื่อมีเครื่องยนต์เข้ามาช่วยในการปั่นไฟ เพื่อไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่แล้วนั้น ความจำเป็นที่ผู้ใช้รถไฟฟ้าทั้งหลายมักกังวลในเรื่อง “สถานีจ่ายไฟ” สำหรับรถไฟฟ้าก็หมดไป เพราะตัวรถจะไม่มีช่องเสียบปลั๊กชาร์จแบตฯ มาให้ แต่สามารถเติมน้ำมันแบบรถทั่วไปได้ เพื่อนำไปใช้ในการปั่นไฟเข้าสู่แบตเตอรี่เท่านั้น ซึ่งยังส่งผลดีในเรื่องของขนาดแบตเตอรี่สำหรับเก็บประจุไฟ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ขนาดใหญ่ให้หนักรถอีกด้วย 


ความแตกต่างของ e-Power ในการทำงาน ระหว่างรถ EV และ Hybrid 

3.เงียบดุจรถ EV ล้วน
ด้วยขุมกำลังแห่งอนาคต e-Power จะช่วยสร้างกำลังที่โดดเด่นในเรื่องของแรงบิดมหาศาล และช่วยตอบสนองการเร่งการขับขี่ได้อย่างราบรื่น รวมไปถึงอีกจุดเด่นคือ เรื่องของ “ความเงียบ..” จะทำได้ดีเหมือนรถ EV เต็มรูปแบบอีกด้วย แต่ตัวระบบมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์น้อยกว่ารถ EV มาก อีกทั้งอัตราการสิ้นเปลืองก็จะเทียบเท่ากับรถ Hybrid ประหยัดและคุ้มค่ากว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการเดินทางในเมือง ซึ่งระบบต่างๆ ในตัวรถที่ถูกออกแบบมายังเอื้อในเรื่องความประหยัดน้ำมันสูงสุดอีกด้วย อาทิเช่น เมื่อรถเริ่มชะลอความเร็ว เครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน และใช้แรงเฉี่อยในหว่างที่รถกำลังจะหยุด เพื่อช่วยในการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่จนกระทั่งรถหยุดนิ่ง เป็นต้น 

ภายในของ Note e-Power จะไม่ต่างจะ Note เวอร์ชั่นธรรมดามากนัก 

4. e-Power ใช้แบตเตอรี่เล็กกว่า ทำให้รถน้ำหนักเบาลง  
ในตลาดญี่ปุ่น Nissan ทำตลาดรถยนต์แบบ e-Power นี้ทั้งหมด 2 รุ่นได้แก่ Note ที่มาในโฉมของ Hatchback กับอีกรุ่นคือ Serena ที่เป็นรถแบบ Mini Van โดยถ้านับยอดขายทุกโมเดลรุ่นย่อยของทั้ง 2 รุ่นนี้ ตลาดรถในแบบ e-Power ยอดขายของ Note จะกินสัดส่วนได้ถึง 60% ส่วน Serena คิดเป็น 40% ซึ่งเมื่อเทียบความนิยมของ Note e-Power อาจจะดูด้อยกว่าอีกรุ่นที่เป็นระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าเช่นกันร่วมค่ายอย่าง Nissan LEAF แต่ด้วยข้อดีของการใช้แบตเตอรี่ที่ขนาดเล็กกว่ามาก เพียง 1/20 จากที่ Nissan LEAF ใช้อยู่ และทดแทนด้วยเครื่องยนต์จึงทำให้ Nissan Note e-Power ได้เปรียบในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่เบากว่า Nissan LEAF มากถึง 300 กิโลกรัมเลยทีเดียว 

*Nissan Note e Power น้ำหนักตัวรถ 1210 กิโลกรัม
 Nissan LEAF น้ำหนักตัวรถ 1505 กิโลกรัม

แบตเตอรี่ของ Note e-Power ขนาดเล็กกว่า Nissan LEAF มาก ส่งผลในเรื่องน้ำหนักตัวรถของ Note จึงเบากว่า LEAF

แบตเตอรี่ของ Note e-Power ขนาดเล็กกว่า Nissan LEAF มาก ส่งผลในเรื่องน้ำหนักตัวรถของ Note จึงเบากว่า LEAF

แบตเตอรี่ของ Note e-Power ขนาดเล็กกว่า Nissan LEAF 

5. เตรียมขายปี 2019 หรือเร็วกว่านั้น
ก่อนหน้านี้จากจุดเริ่มต้นเพียงขายในญี่ปุ่น ด้วยดีไซน์เฉพาะตัวที่ออกแบบมาเพื่อคนเอเชียใช้งานได้สะดวก แต่จุดเด่นของ Nissan Note e-Power ในเรื่องของระบบขับเคลื่อน ทางค่าย Nissan ก็ออกมาเผยว่า อาจมีการนำไปใช้เป็นพื้นฐานให้กับโมเดลรุ่นอื่นๆ ที่ขายอยู่ในประเทศที่ยังไม่พร้อมในเรื่องการมาของรถไฟฟ้าเต็มตัว สถานีชาร์จยังมีไม่ทั่วถึงอย่าง รวมถึงประเทศไทย และระบบ e-Power นี้คือระบบนำร่องเพื่อนำไปสู่การมาของรถไฟฟ้า EV ชาร์จเสียบปลั๊กเต็มรูปแบบในอนาคตได้ อย่างช้าสำหรับ Nissan Note e-Power คันนี้ คาดว่าคนไทยจะได้สัมผัสตัวจริงพร้อมกับได้ขับ น่าจะเป็นช่วงไม่เกินปีหน้า 2019 หรือถ้าเร็วกว่านั้นก็ไม่แน่! Nissan ประเทศไทยอาจจะเปิดตัวรถรุ่นนี้ ภายในปีนี้เลยก็เป็นได้ ไม่นานเกินรอแน่นอน!

ไม่นานเกินรอสำหรับคนไทย ที่จะได้ขับรถรุ่นนี้ Nissan Note e-Power

ไม่นานเกินรอสำหรับคนไทย ที่จะได้ขับรถรุ่นนี้ Nissan Note e-Power

ไม่นานเกินรอสำหรับคนไทย ที่จะได้ขับรถรุ่นนี้ Nissan Note e-Power

ดูเพิ่มเติม
>> 
แอบคอยดูก่อนนะจ๊ะ! Nissan ขอดูความพร้อม EV ในไทยก่อน
>> ตกตะลึงกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถหรูระดับสูงสุดของโลก

และนี่คือทั้งหมดของ Five Fact ที่น่าสนใจในรถรุ่นนี้ Nissan Note e-Power ซึ่งในเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่น ยังมีอีกหลายอย่างจริงๆ ที่ทำให้รถรุ่นนี้น่าสนใจ แต่ต้องรอดูเวอร์ชั่นขายของประเทศสยามกันอีกครั้งว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงต่างจากเวอร์ชั่นที่ทำตลาดในต่างประเทศหรือไม่เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งส่งผลทำให้ตัวเลขราคา คนไทยจับต้องได้ง่ายขึ้นด้วย ยังไงต้องรอติดตามผ่านทาง Chobrod .com ที่เราจะนำข้อมูลมาฝากให้กับคุณอย่างแน่นอน 

แล้วอย่าลืมแชร์กับเราหน่อย ว่าถ้ารถรุ่นนี้เข้าไทย จำหน่ายจริง คุณจะซื้อใช้หรือไม่ และเพราะอะไร บอกเราหน่อยที่ใต้คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย 

ติดตาม ราคารถมือสอง ด้ที่นี่
ติดตามเรื่อง รีวิวรถยนต์ใหม่ ได้ที่นี่
ติดตามเรื่อง ราคารถยนต์ใหม่ๆได้ที่นี่

แท็ก Five Fact